ถึงแม้ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่งอย่างศาสนาอื่นๆ แต่ก็น่าสนใจนะคะตรงที่พระไตรปิฎกได้อธิบายถึงสิ่งที่อยู่นอกเหนือพิภพ ถึงสรรพสิ่งที่ไกลมากจากโลกมนุษย์ อย่างจักรวาล และที่น่าสนใจคือจักรวาลตามที่ระบุในพระไตรปิฎก มีอะไรหลายอย่างคล้ายกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ น่าทึ่งเอาการทีเดียวละค่ะบอลสเต็ป
อย่างแรกคือ มีการระบุเอาไว้ว่า จักรวาลไม่ได้มีอยู่หนึ่งเดียว แต่ว่ามีหลายหมื่นแสนจักรวาลจนประมาณมิได้
และลักษณะของจักรวาลคือ
จักรวาลนั้นเป็นเหมือนช่วงต่อเนื่องของฟองน้ำ เปลี่ยนแปลง ขยับขยาย เคลื่อนไป ระเบิด
และก่อตัวกันใหม่อีก ฟองพรายน้ำแต่ละฟองนั้น ผุดขึ้นต่อเนื่องกันกับแรงที่ก่อเกิดจากส่วนที่ล่วงพ้นไปแล้ว
สงสัยว่าจะคล้าย Big- bang Theory หรือเปล่านี่น่ะ?บอลสเต็ป
มีอีกคำหนึ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย คือ โลกธาตุ ใน จุลนิกสูตร
พระพุทธองค์ทรงกล่าวกับพระอานนท์ว่า
จากระยะใกล้สุดที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะหมุนเวียนตามจักรราศี และส่องสว่างด้วยแสงเรืองโอภาส
จนถึงช่วงหนึ่งพันจักรวาล ยังมีดวงจันทร์หนึ่งพันดวง ดวงอาทิตย์หนึ่งพันดวง หนึ่งพันพระสุเมรุมหาสิงขร
หนึ่งพันชมพูทวีป หนึ่งพันอมรโคยานทวีป หนึ่งพันอุตรกุรุทวีป หนึ่งพันบุพพวิเทหทวีป
สี่พันมหาสมุทร หนึ่งพันจาตุมหาราช หนึ่งพันดาวดึงส์พิภพ หนึ่งพันยามาห้วงสวรรค์
หนึ่งพันสวรรค์ชั้นดุสิต หนึ่งพันนิมมานนรดี หนึ่งพันปรนิมมิตวสวตี และหนึ่งพันห้วงพิภพของของเหล่านี้แหละ
อานนท์ เรียกว่าระบบสหัสสโลกธาตุในชั้นปฐม ระบบที่ใหญ่กว่าที่กล่าวมานี้หนึ่งพัน
เรียกว่า สหัสสโลกธาตุชั้นมัธยม ระบบที่ใหญ่กว่านี้หนึ่งพันเท่า เรียกว่า ตรีสหัสสมหาโลกธาตุ
จักรวาล ในที่นี้น่าจะหมายถึงระบบสุริยจักรวาล ทรงหมายถึงว่าไม่ได้มีเพียงดวงอาทิตย์ดวงเดียว
ดวงจันทร์ดวงเดียวและโลกเดียวเท่านั้น แต่ว่ามีอยู่อีกมากด้วยกัน แสดงว่าทรงทราบว่ามีดาวฤกษ์(ดวงอาทิตย์)
และดาวเคราะห์(ดวงจันทร์และโลก)อยู่อีกเป็นจำนวนมาก ตัวเลขพันที่ใช้ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเลขสี่ตัวจริงๆนะคะ
แต่มีความหมายว่าเป็นจำนวนมากมายบอลสเต็ป
เมื่อรวมสุริยจักรวาลจำนวนมากเข้าด้วยกัน ก็คือกาแลกซี หรือสหัสสโลกธาตุชั้นปฐม ระบบที่ใหญ่กว่านี้คือสหัสสโลกธาตุชั้นมัธยม ประกอบด้วยกาแลกซีจำนวนมาก คือกลุ่มกาแลกซี หรือจักรวาล
ส่วนตรีสหัสสมหาโลกธาตุ คือเอกภพ ที่เกิดจากจักรวาลย่อยๆอีกมากรวมกัน
เมื่อครั้งตรัสรู้ ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ได้เกิดการสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อความข้างบน แสดงว่าจักรวาลมีจำนวนมาก ไม่ได้มีแค่โลกเดียว
ย้อนกลับมาถึงจักรวาลอีกทีหนึ่ง ในเมื่อมีหลายจักรวาลรวมกลุ่มกันอยู่มาก ในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่าช่องว่างระหว่างจักรวาลนั้นเป็นที่ตั้งของโลกันตมหานรก นรกชั้นนี้ได้ชื่อว่าเป็นชั้นลึกที่สุด สัตว์นรกที่ทำบาปขั้นสาหัสที่สุด ขั้นอนันตริยกรรมเท่านั้นถึงจะอยู่ที่นี่ อย่างพระเทวทัต เป็นที่ลึกและมืดสนิทที่สุด สัตว์นรกไม่มีโอกาสมองเห็นแสงสว่างใดๆเลย
อ่านแล้วก็อดนึกถึงหลุมดำไม่ได้ นี่หรือเปล่าโลกันตนรก ที่ผู้สำเร็จอภิญญา ๖ อย่างพระพุทธองค์และพระอรหันต์สามารถมองเห็นและหยั่งรู้ได้ ?
ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ พระพุทธวัจนะว่าด้วยที่ตั้งของพิภพ เมื่อทรงตอบคำทูลถามของพราหมณ์กัสสป ขอลอกคำถามคำตอบมาให้อ่านตามนี้นะคะ
" โลกตั้งอยู่บนสิ่งใด?" (นี่เป็นคำถามของพราหมณ์ค่ะ)
"บนแผ่นน้ำ"
" แผ่นน้ำตั้งอยู่บนสิ่งใด?"
" บนลม"
" และลมตั้งอยู่บนสิ่งใด?"
" บนอวกาศ"
" แลอวกาศเล่าตั้งอยู่บนสิ่งใด?"บอลสเต็ป
" มากเกินไปเสียแล้ว พราหมณ์เอ๋ย อวกาศมิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดทั้งสิ้น
ไม่มีสิ่งใดค้ำอวกาศไว้เลย"บอลสเต็ป
บอลสเต็ป
วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555
แก้ปัญหาอย่างไร..บอลสเต็ป
การแก้ปัญหานั้นเราน่าจะมองบอลสเต็ปไปที่ต้นตอของสาเหตุก่อนว่ามันเกิดจากอะไร และถ้าชายหนุ่ม (หรือหญิงสาว) คิดให้ดีๆ ก็จะรู้ว่ามาจากผู้ชายนั่นเองที่ดันไปตามใจสาวๆ แทบทุกอย่างในการตามจีบหญิงสาวตอนแรกๆ เรียกว่าชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ หรือเธอจะพาไปขึ้นเหนือล่องใต้ ขึ้นเขาลงห้วย ตกนรกขึ้นสวรรค์ (ขึ้นสวรรค์ชายหนุ่มน่าจะชวนมากกว่า… ฮะแอ้ม.แค่สำนวนอย่าคิดมาก) เรียกว่าตามใจแม่เจ้าประคุณทูนหัวหมด ทำให้เมื่อเป็นแฟนกันแล้ว สาวเจ้าจึงคิดว่า ชายหนุ่มก็น่าจะทำได้เหมือนเช่นที่จีบกันแรกๆสิ แต่… ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ผู้ชาย (โดยส่วนใหญ่หรือส่วนน้อยก็ไม่รู้) มักไม่ค่อยเป็นเช่นนั้น ดังนั้นชายหนุ่ม(ที่ดีๆ )จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้อง "ทำ" ในสิ่งที่ตัวเอง "อยากทำ" ตั้งแต่ในตอนแรกๆ ให้ผู้หญิงที่เขาจีบนั้นรู้ไปเลยว่าเขามีสันดาน เอ๊ย.มีนิสัยอย่างไร อยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร เพื่อที่ว่าจะได้ไม่เกิดปัญหาในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป (ในทางไม่ดี) ของชายหนุ่มหลังจากที่ได้สาวเจ้ามาเป็นแฟนแล้ว ดังนั้นในการออกเดทหรือช้อปปิ้งกันครั้งแรกๆ กับสาวที่ชายหนุ่มจีบนั้น บอลสเต็ปชายหนุ่มก็ต้องตามใจหญิงสาวแต่พอควร และในขณะเดียวกัน ก็บอกถึงความต้องการของชายหนุ่มให้สาวเจ้ารับรู้ด้วย เช่นว่าเมื่อเมื่อยขา ก็บอกสาวเจ้าไปเลยว่า "ยาหยีจ๋า พี่เมื่อยขาแล้วนะตัวเอง อยากนั่งพักกินเบยร์สดซักเหยือก สองเหยือกที่ฟู้ดเซ็นเตอร์ได้ไหมจ๊ะ" หรือไม่ก็บอกว่าไปเดินดูพวกอุปกรณ์เดินป่า หรือพวกอุปกรณ์ออกกำลังกายกันบ้างดีไหม ซึ่งจะเป็นการดีกว่าที่จะตามใจสาวเจ้าไปเสียหมด ในการที่จะเดินดูแต่ของผู้หญิง (ยกเว้นร้านขายชุดชั้นใน ชายหนุ่มมักจะไม่ค่อยบ่นในการจะต้องไปดูกับหญิงสาว แต่หญิงสาวก็มักจะไม่ค่อยพาไปซื้อด้วยซักที-ฮา) นี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ส่วนการแก้ปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุก็ได้ ก็คือว่าก่อนไปช็อปปิ้งก็น่าจะคุยกันก่อน ระหว่างหนุ่มกับสาวว่าวันนี้จะทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง (กิจกรรมออกเดทธรรมดา…อย่าคิดมาก) ผู้หญิงจะซื้อของอะไรบ้าง ผู้ชายจะซื้ออะไร หรืออยากทำอะไรบ้างบอลสเต็ป
จากนั้นก็แบ่งเวลาซึ่งคงไม่ต้องถึงขนาดเป๊ะๆ เป็นนาที วินาที ว่าเราควรจะให้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ซักกี่นาที หรือว่าช่วงไหนที่หนุ่มกับสาวจะแยกกันเดิน แล้วเมื่อไหร่จึงจะมานัดเจอกันใหม่ หน้าร้านข้าวมันไก่โกฮับชั้นขายอาหารฟู้ดเซ็นเตอร์ หรือร้านขายชุดว่ายน้ำไทรอัมพ์ชั้น 5 อะไรก็ว่าไป
ข้อสำคัญทั้งสองฝ่ายต้องทำใจกันบ้างว่าอาจจะต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ (ผู้ชายอาจจะต้องเดินจนเมื่อยขาบ้าง - ถ้าทำไม่ได้ให้กลับไปนึกถึงตอนจีบสาวใหม่ๆ, ผู้หญิงอาจต้องเดินคนเดียวบ้าง) แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อย
พูดให้ง่ายเข้าคือต้องพยายามเข้าใจกันและกัน จะทำอะไรก็ให้นึกถึงใจเขาใจเราเท่านั้นเอง แล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ยังคงฉลุยไปเหมือนเดิม บอลสเต็ป
สิ่งที่ชายหนุ่ม(อย่างผม)ขอก็คือ ขอให้ผู้หญิงเข้าใจบ้างว่า วันหยุดของเขานั้นก็สำคัญพอๆ กับของสาวๆ เหมือนกัน เขาก็อยากทำอะไรๆ ในสิ่งที่อยากทำเหมือนอย่างที่สาวๆ อยากทำ (เช่นการเดินช็อปปิ้งจนขาขวิด) เหมือนกันนั่นแหละ จึงอยากขอให้สาวๆ ทำความเข้าใจกับความต้องการของผู้ชายบ้าง ขอแค่นี้แหละครับ ได้มะ. บอลสเต็ป
จากนั้นก็แบ่งเวลาซึ่งคงไม่ต้องถึงขนาดเป๊ะๆ เป็นนาที วินาที ว่าเราควรจะให้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ซักกี่นาที หรือว่าช่วงไหนที่หนุ่มกับสาวจะแยกกันเดิน แล้วเมื่อไหร่จึงจะมานัดเจอกันใหม่ หน้าร้านข้าวมันไก่โกฮับชั้นขายอาหารฟู้ดเซ็นเตอร์ หรือร้านขายชุดว่ายน้ำไทรอัมพ์ชั้น 5 อะไรก็ว่าไป
ข้อสำคัญทั้งสองฝ่ายต้องทำใจกันบ้างว่าอาจจะต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ (ผู้ชายอาจจะต้องเดินจนเมื่อยขาบ้าง - ถ้าทำไม่ได้ให้กลับไปนึกถึงตอนจีบสาวใหม่ๆ, ผู้หญิงอาจต้องเดินคนเดียวบ้าง) แล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อย
พูดให้ง่ายเข้าคือต้องพยายามเข้าใจกันและกัน จะทำอะไรก็ให้นึกถึงใจเขาใจเราเท่านั้นเอง แล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ยังคงฉลุยไปเหมือนเดิม บอลสเต็ป
สิ่งที่ชายหนุ่ม(อย่างผม)ขอก็คือ ขอให้ผู้หญิงเข้าใจบ้างว่า วันหยุดของเขานั้นก็สำคัญพอๆ กับของสาวๆ เหมือนกัน เขาก็อยากทำอะไรๆ ในสิ่งที่อยากทำเหมือนอย่างที่สาวๆ อยากทำ (เช่นการเดินช็อปปิ้งจนขาขวิด) เหมือนกันนั่นแหละ จึงอยากขอให้สาวๆ ทำความเข้าใจกับความต้องการของผู้ชายบ้าง ขอแค่นี้แหละครับ ได้มะ. บอลสเต็ป
น้ำพริก.....อร่อย2..บอลสเต็ป
มาพูดถึงตำรา น้ำพริกเล่มนี้ก่อนดีกว่าค่ะบอลสเต็ป ในคำนำในหน้าหนังสือนี้ พูดถึงว่า การกินน้ำพริกนั้นนับเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งทีเดียว เพราะคนที่กินน้ำพริกต้องรู้ว่าจะเอาอะไรจิ้มน้ำพริก แต่โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ทราบเป็นที่แน่ชัดค่ะ กินตามที่เขาจัดมาให้ โดยอนุมานเอาว่าสิ่งที่เขาจัดมานั้นคือสิ่งที่เขาใช้กินคู่กัน อีกหน่อยไม่แน่นะคะ ในโรงเรียนอาจจะมีวิชา น้ำพริกบริโภคศาสตร์ โดยมีคำถาม เช่นว่า น้ำพริก ปลาร้า นั้นควรกินคู่กับอะไร แบบนี้เป็นต้น ตำรายังได้กล่าวถึงรสชาติของน้ำพริกไว้ว่า โดยทั่วไปแล้ว จะมีรสเผ็ดนำ รสเค็มตาม แต่ภาคกลางนั้นจะเพิ่มรสเปรี้ยวลงไปด้วย ดิฉันก็มานั่งนึกดู ก็เห็นจะจริง ปกติ เวลาอยู่ทางเหนือ น้ำพริกอ่อง ที่ดิฉันเคยรับประทาน ก็จะมีรสเผ็ดนำ รสเค็มตาม แต่ว่า ค่อนข้างหวาน ไปในที แบบนี้จะเรียกว่าผิดสูตร น้ำพริกรึเปล่าก็ไม่ทราบนะคะบอลสเต็ป น้ำพริกหนุ่มนั้น ก็อร่อยเหลือใจ ทานกับแคบหมู ผักต้ม นานาชนิด เผ็ดจนบางครั้งน้ำตาเล็ด น้ำพริกจิ๊กกุ่ง (จิ้งหรีด) ก็มีส่วนผสมของ ตัวจิ้งหรีดต้มสุขแล้วค่ะ ตัวจิ้งหรีดนี้เอามาทอดกรอบก็อร่อยได้ระดับอาหารฮ่องเต้ เชียวล่ะค่ะ น้ำพริกน้ำปู สีจะออกดำๆ ใส่พริกชี้ฟ้าหรือ ที่ทางเหนือเรียก พริกหนุ่มนั่นล่ะค่ะ เผ็ดถึงใจ สีไม่สวย แถมรสชาติออกเค็มๆ ทานกับหน่อไม้ต้ม ผักต้ม อีกเช่นเคย แต่ส่วนผสมของน้ำปู นี่ดิฉันเอง ก็จนใจว่า ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เพราะปกติที่เห็นขายคือ ใส่ถุงๆ หรือใส่กระปุกสีดำๆ เหมือน กะปิ ค่ะ ไม่ได้เหลว บางคนชอบนำมาจิ้มกับฝักมะขามอ่อน ดิฉันทดลองดูแล้ว ก็ เรียกว่าใช้ได้ค่ะ อร่อยไปอีกแบบ ถ้าคุณลองครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ชอบไปเลยก็คงเกลียดไปเลย น้ำพริกแมงดาบอลสเต็ป สำหรับดิฉันแล้ว อร่อยค่ะ แต่ หลายๆ คนจะรับประทานไม่ได้ แค่ได้กลิ่นก็จะพาลให้แน่นหน้าอก กันหมด จะเป็นลมเอาได้ง่ายๆ แต่ ดิฉันเลี้ยงง่ายค่ะ ขอมีเพียงน้ำพริกตาแดง หมูทอด ผักดอง เท่านี้ ก็อร่อยและอิ่มแล้วค่ะ กลับมาที่ตำราน้ำพริกกันดีกว่าค่ะ ถ้าหากสนใจเรื่องอาหารการกินแล้วล่ะก็ไม่น่าพลาดที่จะหามาอ่าน กันนะคะ ตำราเล่มก็ได้พูดถึงนิยายสั้นๆเกี่ยวกับอาหารไทยอีกแน่ะอ่านแล้วก็รู้สึกชื่นชมท่านผู้แต่งเป็นอย่างยิ่ง หลายท่านคงเคยได้ยินได้ฟังนิยายอาหรับราตรี เรื่องหนึ่งทิวาพันราตรีมาบ้างแล้วในเรื่องนั้นกาหลิบได้เอาสาวๆมาร่วมหลับนอนคืนละหนึ่งคน พอรุ่ขึ้นก็ประหารชีวิตแต่เผอิญมีสาวเจ้านางหนึ่งฉลาดเหลือเกิน ยืดชีวิตของตนเองไม่ให้ถูกประหาร โดยการเล่านิทานให้กาหลิบฟัง นิทานมักจะถึง ตอนสำคัญๆ เมื่อรุ่งสาง กาหลิบเอง ก็นั่นล่ะค่ะ อยากฟังต่อให้จบนี่คะ เรื่องกำลัง มันส์ ก็ต้องเก็บ ชีวิต สาวเจ้าไว้ก่อนเพื่อให้เล่าต่อในคืนต่อไป ทีนี้ย้อนมาถึงกษัตริย์ไทยบ้าง อยากจะดูว่าสาวไทยฉลาดๆ แบบสาวแขกนั้น มีบ้างไหม จึงใช้นโยบายเดียวกัน ก็เผอิญมีสาวน้อยนางหนึ่งนามสมมุติว่า มรว ทับทิม ( มรว = แม่เรียกว่า) ก็คิดอุบายที่จะไม่ให้ถูกประหารชีวิตในวันรุ่งขึ้น จึงได้เล่าตำรา กับข้าวไทยให้กษัตริย์ฟังก่อนนอน เริ่มต้นที่น้ำพริกก่อน แต่ละคืนสาวเจ้าก็จะบรรยายการตำน้ำพริกว่าา ต้องงมีเครื่องปรุงมีกี่อย่าง อะไรบ้าง แต่ละอย่างต้องเลือกเอาลักษณะที่ดี และลักษณะที่ดีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อไปก็วิธีการปรุงจะหยิบอะบอลสเต็ปไรใส่ครกก่อนหลัง การโขลกจะต้องมีจังหวะอย่างไร โขลกให้เครื่องปรุงแหลกหรือแค่พอบุบๆก็พอ ต่อไปก็ปรุงรส ด้วยอะไรบ้าง เช่น น้ำปลา มะนาว ฯลฯ ซึ่งแต่ละอย่างก็ต้องเลือกสรรน้ำพริกนี้จะต้องกินกับอะไร จึงจะเหมาะ เช่น ให้กินกับปลาดุกฟู หรือปลากรอบ โดยปิ้งซะก่อนแล้วหักเป็นชิ้นเล็กๆทอด ส่วนผักนั้นก็ป็นผักประเภทมะเขือ แตงกวา ช่อมะม่วง ช่อมะกอก ผักชี บวบ กระเจี๊ยบ หน่อไม้ เหล่านี้ กษัตริย์ได้ฟังแล้วก็เอ่ยว่า เอ้า! พรุ่งนี้ตำให้กินซักครกนึงนะ ก็เป็นอันว่าสาวน้อยคนนี้ ก็รอดตายไปอีกวันหนึ่ง พอคืนวันถัดมาก็บรรยายน้ำพริกอีกชนิดนึง อย่างนี้ไปเรื่อยๆจนแก่เฒ่า ก็แสดงว่าสูตรน้ำพริกของไทยนั้นมีมากมาย แล้วแต่จะพลิกแพลงปรุงแต่งตามใจชอบ ข้าพเจ้า รู้สึกว่าหาก สาวเจ้านางนั้นมีตัวตนจริงก็ควรได้ชื่อว่าเป็น มารดาแห่งน้ำพริกไทยแน่แท้ และต้องจัดงานวันน้ำพริกแห่งประเทศไทยเพื่อเป็นเกียรติเป็นแน่แท้ เอาล่ะค่ะ มาถึงตรงนี้แล้ว หากท่านใดมีสูตร น้ำพริก อร่อยๆ อย่าลืมนะคะ ขอเผื่อแผ่ ให้ดิฉัน บ้างค่ะบอลสเต็ป
ปัญหาในห้องเรียน..บอลสเต็ป
ปัญหาทั่วไปในห้องเรียน ที่นักเรียนคนไหนๆก็เจอได้มีดังนี้บอลสเต็ป
ปัญหาเกี่ยวกับผู้สอน
ทั้งที่เกิดจากตัวผู้สอนเองและที่เกิดจากอคติของเราซึ่งหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหา คือ เราต้องมองให้ออกว่าอะไรเป็นปัญหากันแน่แล้วค่อยจัดการกับปัญหานั้น ยกตัวอย่างเช่น เราไม่ชอบหน้า หมั่นไส้ ผู้สอนคนหนึ่งมาก จนไม่สามารถจดจ่อกับเนื้อหาสาระ ในการสอน ได้ เพราะในใจคอยแต่จะคิดโต้แย้งคำของคุณครู ซึ่งเราก็ต้องหาสาเหตุว่า ที่ไม่ชอบ เพราะ อะไร ถ้าพบว่าเป็นเพราะผู้สอนนั้นมีท่าทางลักษณะการพูดบางอย่างที่ขัดหูขัดตาเรา เช่น ชอบพูดภาษาไทยคำอังกฤษคำ ชอบใช้ศัพท์เทคนิคยากๆ คำหรูๆ หรือ ชอบพูดจากแบบน้ำ ท่วมทุ่ง เราก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นธรรมชาติของคนที่ย่อมมีหลากหลาย จะให้ผู้สอนทุกคนมี ลักษณะแลลที่เราชอบทั้งหมด คงเป็นไปไม่ได้ และพยายามมองในแง่บวกว่า การที่ผุ้สอน พูด ไทยคำอังกฤษคำนั้น อาจเพราะจบจากต่างประเทศไม่ใช่ต้องการอวดความรู้ หรือไม่ก็ ต้อง การให้พวกเราสงสัยและไปค้นคว้าเพิ่มเติมบอลสเต็ป
ถ้าเราไม่สามารถแก้ไขความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้สอนท่านนั้นได้จริงๆ และเรายังสามารถถอน วิชา หรือย้ายไปเรียนกับอาจารย์ท่านอื่นได้ ก็จงทำซะ เพราะมันจะเป็นผลดีกว่าการนั่งเรียน ด้วยความรู้สึกแบบนั้น
บอลสเต็ป
ปัญหาเรื่องความอคติเกี่ยวกับผู้สอนนี้เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะอคติที่เกิดจากคำบอกเล่า ของรุ่นพี่หรือเพื่อนๆ จงอย่าด่วนตัดสินผู้สอนคนไหนก่อนจะได้รู้จักตัวจริงของท่าน จงให้โอกาส ตัวเองและผู้สอนท่านนั้น ได้พิสูจน์ความจริงซักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ภายใน ช่วงเวลาที่เรายังสามารถถอนหรือย้ายวิชาเรียนได้
ตัววิชาน่าเบื่อมาก
บอลสเต็ป
นีเป็นเรื่องปกตินะคะ ที่เราสามารถลดความน่าเบื่อนั้นและทำให้ตัวเองเกิดความตั้งใจเรียน ได้ด้วยวิธีต่างๆ ข้างต้น คือ มีการเตรียมตัว รู้จักฟัง และทำในสิ่งที่ควร ไม่ควร
ชั่วโมงเรียนไม่เหมาะสม
ช่วงเวลาหลังอาหารกลางวัน ตั้งแต่บ่ายโมง ถึง บ่ายสองนั้น จัดว่าเป็นเวลาที่เราต้องใช้ ความ ตั้งใจในการเรียนมากเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเอาวิชาที่น่าเบื่อมาไว้ในช่วงนี้ ยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น พยายามเลือกวิชาที่ตัวเองชอบในช่วงเวลานี้
ความขัดแย้งภายในห้อง
มักเกิดขึ้นเมื่อมีการสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา แล้วความคิดของเราไม่ตรง กับเพื่อนคนอื่นๆ หรือแม้แต่ไม่ตรงกับความคิดของผู้สอนด้วย และวิธีที่จะช่วยแก้ไข ปัญหา ความขัดแย้ง คือ เราต้องฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย โดยปราศจากอคติ พิจารณาว่า ทำไม ความคิดเห็นของเขาถึงต่างจากเรา มันมีเหตุผลอะไรสนับสนุน แล้วเหตุผลประกอบความคิด ของเราคืออะไร จากนั้นจึงค่อยโต้แย้งกัน ด้วยเหตุผล ให้เกียรติอีกฝ่าย อย่าใช้อารมณ์บอลสเต็ป
ปัญหาเกี่ยวกับผู้สอน
ทั้งที่เกิดจากตัวผู้สอนเองและที่เกิดจากอคติของเราซึ่งหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหา คือ เราต้องมองให้ออกว่าอะไรเป็นปัญหากันแน่แล้วค่อยจัดการกับปัญหานั้น ยกตัวอย่างเช่น เราไม่ชอบหน้า หมั่นไส้ ผู้สอนคนหนึ่งมาก จนไม่สามารถจดจ่อกับเนื้อหาสาระ ในการสอน ได้ เพราะในใจคอยแต่จะคิดโต้แย้งคำของคุณครู ซึ่งเราก็ต้องหาสาเหตุว่า ที่ไม่ชอบ เพราะ อะไร ถ้าพบว่าเป็นเพราะผู้สอนนั้นมีท่าทางลักษณะการพูดบางอย่างที่ขัดหูขัดตาเรา เช่น ชอบพูดภาษาไทยคำอังกฤษคำ ชอบใช้ศัพท์เทคนิคยากๆ คำหรูๆ หรือ ชอบพูดจากแบบน้ำ ท่วมทุ่ง เราก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นธรรมชาติของคนที่ย่อมมีหลากหลาย จะให้ผู้สอนทุกคนมี ลักษณะแลลที่เราชอบทั้งหมด คงเป็นไปไม่ได้ และพยายามมองในแง่บวกว่า การที่ผุ้สอน พูด ไทยคำอังกฤษคำนั้น อาจเพราะจบจากต่างประเทศไม่ใช่ต้องการอวดความรู้ หรือไม่ก็ ต้อง การให้พวกเราสงสัยและไปค้นคว้าเพิ่มเติมบอลสเต็ป
ถ้าเราไม่สามารถแก้ไขความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้สอนท่านนั้นได้จริงๆ และเรายังสามารถถอน วิชา หรือย้ายไปเรียนกับอาจารย์ท่านอื่นได้ ก็จงทำซะ เพราะมันจะเป็นผลดีกว่าการนั่งเรียน ด้วยความรู้สึกแบบนั้น
บอลสเต็ป
ปัญหาเรื่องความอคติเกี่ยวกับผู้สอนนี้เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะอคติที่เกิดจากคำบอกเล่า ของรุ่นพี่หรือเพื่อนๆ จงอย่าด่วนตัดสินผู้สอนคนไหนก่อนจะได้รู้จักตัวจริงของท่าน จงให้โอกาส ตัวเองและผู้สอนท่านนั้น ได้พิสูจน์ความจริงซักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ภายใน ช่วงเวลาที่เรายังสามารถถอนหรือย้ายวิชาเรียนได้
ตัววิชาน่าเบื่อมาก
บอลสเต็ป
นีเป็นเรื่องปกตินะคะ ที่เราสามารถลดความน่าเบื่อนั้นและทำให้ตัวเองเกิดความตั้งใจเรียน ได้ด้วยวิธีต่างๆ ข้างต้น คือ มีการเตรียมตัว รู้จักฟัง และทำในสิ่งที่ควร ไม่ควร
ชั่วโมงเรียนไม่เหมาะสม
ช่วงเวลาหลังอาหารกลางวัน ตั้งแต่บ่ายโมง ถึง บ่ายสองนั้น จัดว่าเป็นเวลาที่เราต้องใช้ ความ ตั้งใจในการเรียนมากเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเอาวิชาที่น่าเบื่อมาไว้ในช่วงนี้ ยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น พยายามเลือกวิชาที่ตัวเองชอบในช่วงเวลานี้
ความขัดแย้งภายในห้อง
มักเกิดขึ้นเมื่อมีการสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาวิชา แล้วความคิดของเราไม่ตรง กับเพื่อนคนอื่นๆ หรือแม้แต่ไม่ตรงกับความคิดของผู้สอนด้วย และวิธีที่จะช่วยแก้ไข ปัญหา ความขัดแย้ง คือ เราต้องฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย โดยปราศจากอคติ พิจารณาว่า ทำไม ความคิดเห็นของเขาถึงต่างจากเรา มันมีเหตุผลอะไรสนับสนุน แล้วเหตุผลประกอบความคิด ของเราคืออะไร จากนั้นจึงค่อยโต้แย้งกัน ด้วยเหตุผล ให้เกียรติอีกฝ่าย อย่าใช้อารมณ์บอลสเต็ป
สิ่งที่ควรทำในห้องเรียน..บอลสเต็ป
นอกจากเตรียมตัวและฟังแล้ว สิ่งอื่นที่ควรทำคือบอลสเต็ป
เข้าห้องเรียนก่อนเวลาเล็กน้อย จะได้มีเวลาหยิบตำรา ข้าวของประกอบการเรียน ออกมาวาง ให้เรียบร้อย
นั่งแถวหน้า ให้ใกล้ชิดกับผู้สอนเข้าไว้ สิ่งนี้จะบังคับให้เราตื่นตัว จดจ่อกับการสอน ตลอดเวลา แอบคุยจุกจิก หรือ เผลอหลับได้ยาก นอกจากนี้เป็นการสร้างความประทับใจ ให้กับผู้สอน ให้หลีก เลี่ยงที่นั่งบริเวณริมหน้าต่าง เพราะมันมีทัศนียภาพ และสิ่งรบกวนมากมายที่ทำให้เราเสีย สมาธิ ได้ง่ายๆ
บอลสเต็ป
นั่งตัวตรง หลีกเลี่ยงการนั่งเอามือเท้าคาง เพราะเราพร้อมที่จะจะหลับหรือคิดถึงเรื่องอื่นได้ทุกเมือ ในท่านี้
ทิ้งปัญหาและเรื่องรบกวนใจต่างๆ ไว้นอกห้อง จงตระหนักไว้เสมอว่าเวลาอยู่ในห้องเรียน เราไม่มี ทางจัดการกับปัญหาส่วนตัวเหล่านั้นได้ รอให้หมดชั่วโมงก่อนค่อยเก็บมาคิดก็ยังทันบอลสเต็ป
ตอบคำถามผู้สอนหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่กำลังเรียนกับผู้สอนเป็น ระยะๆ การได้พูดหรือ ขยับตัวเล็กน้อยจะช่วยขับไล่ ความเฉื่อยชา สลึมสลือ ไปได้
ให้ความร่วมมือกับผู้สอนและเพื่อนๆในกิจกรรมการเรียนการสอน
แสดงออกถึงความตั้งใจฟังด้วยการสบตาผู้สอน พยักหน้ารับเพราะมันสามารถส่งผลถึง คะแนน ของเราได้ ( เอิ้กๆ จริงๆ น้าาาา ) ถ้านักเรียนคนไหนกระตือรือร้นตั้งใจเรียน ท่านก็พอใจ ยินดี ให้ความช่วยเหลือ แต่ถ้าคนไหนซึมกระทือใจลอยบอลสเต็ป ไม่สนใจว่าท่านพูดอะไร ท่านก็คงไม่ค่อยชอบ ใจซักเท่าไหร่
ใช้เวลา 2-3 นาที ก่อนออก จากห้องเรียนย้ำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งเรียนมา ด้วยการ คิด ทบทวน หรือดู โน๊ตแบบผ่านๆ เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ ทันทีที่ออกไปเจอสิ่งเร้าต่างๆ ภายนอก เรา ก็จะลืมความรู้ใหม่นั้นง่ายๆบอลสเต็ป
เข้าห้องเรียนก่อนเวลาเล็กน้อย จะได้มีเวลาหยิบตำรา ข้าวของประกอบการเรียน ออกมาวาง ให้เรียบร้อย
นั่งแถวหน้า ให้ใกล้ชิดกับผู้สอนเข้าไว้ สิ่งนี้จะบังคับให้เราตื่นตัว จดจ่อกับการสอน ตลอดเวลา แอบคุยจุกจิก หรือ เผลอหลับได้ยาก นอกจากนี้เป็นการสร้างความประทับใจ ให้กับผู้สอน ให้หลีก เลี่ยงที่นั่งบริเวณริมหน้าต่าง เพราะมันมีทัศนียภาพ และสิ่งรบกวนมากมายที่ทำให้เราเสีย สมาธิ ได้ง่ายๆ
บอลสเต็ป
นั่งตัวตรง หลีกเลี่ยงการนั่งเอามือเท้าคาง เพราะเราพร้อมที่จะจะหลับหรือคิดถึงเรื่องอื่นได้ทุกเมือ ในท่านี้
ทิ้งปัญหาและเรื่องรบกวนใจต่างๆ ไว้นอกห้อง จงตระหนักไว้เสมอว่าเวลาอยู่ในห้องเรียน เราไม่มี ทางจัดการกับปัญหาส่วนตัวเหล่านั้นได้ รอให้หมดชั่วโมงก่อนค่อยเก็บมาคิดก็ยังทันบอลสเต็ป
ตอบคำถามผู้สอนหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่กำลังเรียนกับผู้สอนเป็น ระยะๆ การได้พูดหรือ ขยับตัวเล็กน้อยจะช่วยขับไล่ ความเฉื่อยชา สลึมสลือ ไปได้
ให้ความร่วมมือกับผู้สอนและเพื่อนๆในกิจกรรมการเรียนการสอน
แสดงออกถึงความตั้งใจฟังด้วยการสบตาผู้สอน พยักหน้ารับเพราะมันสามารถส่งผลถึง คะแนน ของเราได้ ( เอิ้กๆ จริงๆ น้าาาา ) ถ้านักเรียนคนไหนกระตือรือร้นตั้งใจเรียน ท่านก็พอใจ ยินดี ให้ความช่วยเหลือ แต่ถ้าคนไหนซึมกระทือใจลอยบอลสเต็ป ไม่สนใจว่าท่านพูดอะไร ท่านก็คงไม่ค่อยชอบ ใจซักเท่าไหร่
ใช้เวลา 2-3 นาที ก่อนออก จากห้องเรียนย้ำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งเรียนมา ด้วยการ คิด ทบทวน หรือดู โน๊ตแบบผ่านๆ เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ ทันทีที่ออกไปเจอสิ่งเร้าต่างๆ ภายนอก เรา ก็จะลืมความรู้ใหม่นั้นง่ายๆบอลสเต็ป
เตรียมตัวเข้าห้องเรียน..บอลสเต็ป
ความพร้อมเป็นปัจจัยที่สามารถช่วยให้เราทำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้นและสำหรับการเข้าห้องเรียน เราควรเตรียมความพร้อมในสองด้านต่อไปนี้ บอลสเต็ป
1. รู้จักผู้สอน
2. อ่านหนังสือล่วงหน้า
รู้จักผู้สอน
คำว่ารู้จักผู้สอนในที่นี้หมายถึงรู้นิสัยใจคอ สไตล์การสอน ของคุณครูประจำแต่ละวิชา เพื่อที่ เราจะได้ปรับวิธีการฟัง การตอบ การถาม หรือแม้แต่การจดโน้ตได้อย่างเหมาะสม เพราะ คุณครูทุกคน ล้วนมีลักษณะเฉพาะของตนเองเช่น
ตอบคำถามของนักเรียนทันทีที่ได้รับคำถามและยินดีให้ถามได้ทุกเมื่อ
บอลสเต็ป
ชอบให้ถามในท้ายชั่วโมงเรียนเท่านั้น
ต้องการให้กิจกรรมทุกอย่างภายในห้องเรียนเป็นไปตามแผนการสอนของตน แบบ เป๊ะๆ เวลาที่ นักเรียนต้องทำสิ่งนี้ หมดเวลาแล้วก็ต้องหยุด เลิก ไม่มีการยืดหยุ่น
ชอบให้นักเรียนจัดกลุ่มอภิปรายในห้อง ถ้าเจอผู้สอนแบบนี้อาจต้องพยายามทำตัวเป็น คนช่างคิด รู้จักนำเอาประเด็นความรู้สำคัญๆ ที่ได้เรียนมาใช้กับเรื่องที่ไม่มีในตำรา
ชอบนำเอาข้อมูล ตัวอย่าง ที่ให้แนวคิดนอกเหนือจากในตำรามาบรรยาย ซึ่งการจะเข้าเรียน กับผู้สอนแบบนี้ให้ได้ผลดี เราก็ต้องเปิดหูเปิดตาตัวเอง ติดตามเหตุการณ์ข่าวสารต่างๆ เสมอ
การสังเกตเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เราวิเคราะห์ลักษณะนิสัย สไตล์การสอนของอาจารย์ ทั้งหลายได้ และ บางครั้งการถามคนที่เคยเรียนกับอาจารย์คนนี้ คนนั้นมาก่อน ก็สามารถช่วย ให้เรารู้จักผู้สอนได้ในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้เราต้องนำเอาข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบ กับสิ่ง ที่เราสังเกตเห็นด้วย เพราะถ้าเชื่อตามคำบอกเล่าหมด เราอาจเกิดทัศนคติที่ไม่ดี กับผู้สอน และพลอยทำให้ไม่ชอบวิชานั้นๆ ไปเลย
บอลสเต็ป
อ่านหนังสือล่วงหน้า
โดยปกติแล้วทุกวิชาจะมีตำราเรียน 1 เล่ม ตามที่หลักสูตรกำหนด นอกเหนือจากตำราก็อาจมี สมุดแบบฝึกหัด หนังสืออ่านประกอบ และถึงแม้จะมีบ่อยครั้งที่ผู้สอนไม่ได้สอนตามหนังสือ แต่ กระนั้นตำราก็ยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาที่เราต้องอ่าน และควรอ่านล่วงหน้า แม้จะรู้ว่า อาจารย์จะไม่สอนตามที่เราอ่านมา เพราะว่า
บอลสเต็ป
:o เพื่อให้ง่ายต่อการจดโน้ต เพราะเราจะรู้ว่า การสอนไหนของคุณครูที่มีอยู่ในตำราแล้ว ซึ่งเรา สามารถกลับไปขีดเส้นใต้หรือทำเครื่องหมายดอกจันได้ภายหลัง และมีการสอนที่นอกตำรา ที่เราควรจะจด
:o เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับตอบคำถามของคุณครูที่อาจมาแบบไม่รู้ตัว
บอลสเต็ป
o เพื่อเตรียมคำถามในส่วนที่เราอ่าน (แบบผ่านๆ ) แล้วไม่เข้าใจเอาไว้ถามเมื่อจบการเรียน การสอน แล้ว และยังมีเนื้อหาบางส่วนที่คุณครูไม่ได้บรรยายให้เข้าใจ และยังเป็นปัญหา สำหรับเรา
1. รู้จักผู้สอน
2. อ่านหนังสือล่วงหน้า
รู้จักผู้สอน
คำว่ารู้จักผู้สอนในที่นี้หมายถึงรู้นิสัยใจคอ สไตล์การสอน ของคุณครูประจำแต่ละวิชา เพื่อที่ เราจะได้ปรับวิธีการฟัง การตอบ การถาม หรือแม้แต่การจดโน้ตได้อย่างเหมาะสม เพราะ คุณครูทุกคน ล้วนมีลักษณะเฉพาะของตนเองเช่น
ตอบคำถามของนักเรียนทันทีที่ได้รับคำถามและยินดีให้ถามได้ทุกเมื่อ
บอลสเต็ป
ชอบให้ถามในท้ายชั่วโมงเรียนเท่านั้น
ต้องการให้กิจกรรมทุกอย่างภายในห้องเรียนเป็นไปตามแผนการสอนของตน แบบ เป๊ะๆ เวลาที่ นักเรียนต้องทำสิ่งนี้ หมดเวลาแล้วก็ต้องหยุด เลิก ไม่มีการยืดหยุ่น
ชอบให้นักเรียนจัดกลุ่มอภิปรายในห้อง ถ้าเจอผู้สอนแบบนี้อาจต้องพยายามทำตัวเป็น คนช่างคิด รู้จักนำเอาประเด็นความรู้สำคัญๆ ที่ได้เรียนมาใช้กับเรื่องที่ไม่มีในตำรา
ชอบนำเอาข้อมูล ตัวอย่าง ที่ให้แนวคิดนอกเหนือจากในตำรามาบรรยาย ซึ่งการจะเข้าเรียน กับผู้สอนแบบนี้ให้ได้ผลดี เราก็ต้องเปิดหูเปิดตาตัวเอง ติดตามเหตุการณ์ข่าวสารต่างๆ เสมอ
การสังเกตเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เราวิเคราะห์ลักษณะนิสัย สไตล์การสอนของอาจารย์ ทั้งหลายได้ และ บางครั้งการถามคนที่เคยเรียนกับอาจารย์คนนี้ คนนั้นมาก่อน ก็สามารถช่วย ให้เรารู้จักผู้สอนได้ในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้เราต้องนำเอาข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบ กับสิ่ง ที่เราสังเกตเห็นด้วย เพราะถ้าเชื่อตามคำบอกเล่าหมด เราอาจเกิดทัศนคติที่ไม่ดี กับผู้สอน และพลอยทำให้ไม่ชอบวิชานั้นๆ ไปเลย
บอลสเต็ป
อ่านหนังสือล่วงหน้า
โดยปกติแล้วทุกวิชาจะมีตำราเรียน 1 เล่ม ตามที่หลักสูตรกำหนด นอกเหนือจากตำราก็อาจมี สมุดแบบฝึกหัด หนังสืออ่านประกอบ และถึงแม้จะมีบ่อยครั้งที่ผู้สอนไม่ได้สอนตามหนังสือ แต่ กระนั้นตำราก็ยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาที่เราต้องอ่าน และควรอ่านล่วงหน้า แม้จะรู้ว่า อาจารย์จะไม่สอนตามที่เราอ่านมา เพราะว่า
บอลสเต็ป
:o เพื่อให้ง่ายต่อการจดโน้ต เพราะเราจะรู้ว่า การสอนไหนของคุณครูที่มีอยู่ในตำราแล้ว ซึ่งเรา สามารถกลับไปขีดเส้นใต้หรือทำเครื่องหมายดอกจันได้ภายหลัง และมีการสอนที่นอกตำรา ที่เราควรจะจด
:o เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับตอบคำถามของคุณครูที่อาจมาแบบไม่รู้ตัว
บอลสเต็ป
o เพื่อเตรียมคำถามในส่วนที่เราอ่าน (แบบผ่านๆ ) แล้วไม่เข้าใจเอาไว้ถามเมื่อจบการเรียน การสอน แล้ว และยังมีเนื้อหาบางส่วนที่คุณครูไม่ได้บรรยายให้เข้าใจ และยังเป็นปัญหา สำหรับเรา
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555
เล่าเรื่องเหล้า...บอลสต็ป
ปลายปีมักเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างรอคอยที่จะได้สังสรรค์กันในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ อาคารต่างๆ ตลอบอลสต็ปดจนถนนหนทางถูกประดับประดาด้วยไฟระยิบระยับสวยงามเพื่อรอรับวันเทศกาลที่จะมาถึง
สิ่งที่อยู่คู่กับงานสังสรรค์เสมอก็คือ "เครื่องดื่มแอลกอฮอล์" แม้จะมีการรณรงค์มากมายเพื่อบอกถึงอันตรายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงเลย ตรงกันข้ามธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลับเติบโต มีมูลค่าสูงขึ้นทุกปี
ในโอกาสที่หลายคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาคอยงานสังสรรค์ที่กำลังจะมาถึง หรือบางคนอาจ "ดื่ม" ฉลองกันไปบ้างแล้ว ทางวิชาการดอทคอมขอหยิบยกเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่า "เหล้า" มาเล่าสู่กันฟังแบบวิชาการบ้างบอลสต็ป
"เหล้า" เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของมนุษย์มาช้านานแล้ว มนุษย์ดื่มเหล้าในงานรื่นเริงมาตั้งแต่สมัยโบราณ เรียนรู้ที่จะ "เมา" กันตั้งแต่เริ่มมีอารยธรรมเลยทีดียว บันทึกที่มีข้อมูลเก่าแก่ที่ระบุว่า มนุษย์รู้จักการผลิตเหล้าตั้งแต่สมัยสุเมเรียนหรืออาจก่อนหน้านั้นแต่ไม่มีหลักฐาน และเหล้าชนิดแรกที่มนุษย์ผลิตได้คือ "เบียร์" ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากความบังเอิญที่การจัดเก็บผลิตผลทางการเกษตรในยุคนั้นยังไม่ดีนัก จึงทำให้ธัญพืช เช่น ข้าวบาเลย์ และข้าวสาลี ที่เก็บเกี่ยวมากองรวมกันไว้ได้รับความชื้นจากอากาศ ทำให้เกิด "การหมัก" โดยเชื้อจุลิทรีย์จนมีแอลกอฮอล์เกิดขึ้น ได้ข้าวที่มีกลิ่นรสเปลี่ยนไป ซึ่งคงถูกปากและถูกใจบรรพบุรุษของเราอย่างมาก กรรมวิธีการผลิตจึงถูกถ่ายทอดและปรับปรุงต่อมาบอลสต็ป
อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์รู้จักการ "กิน" หรืออย่างน้อยก็รู้จัก "ความสุขจากการกิน" แอลกอฮอล์มาก่อนจะมีอารยธรรมเสียอีก มนุษย์โบราณอาจมีโอกาสลิ้มรสแอลกอฮอล์จากผลไม้ที่สุกงอมที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถหมักจนเกิดแอลกอฮอล์ได้ ผลไม้สุกงอมที่ผ่านการหมักนี้เต็มไปด้วยน้ำตาล แอลกอฮอล์ และจุลินทรีย์ เป็นแหล่งพลังงานชั้นยอด จึงดึงดูดสัตว์หลายชนิด เช่น แมลงหวี่ นก ลิง และน่าจะรวมถึงมนุษย์ด้วย
การผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แท้จริงแล้วคือ กระบวนการหมัก เพื่อเปลี่ยนสารอาหารจำพวกน้ำตาลและแป้งในวัตถุดิบไปเป็นแอลกอฮอล์ กระบวนการหมักที่พบโดยบังเอิญถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมา ผ่านการปรับปรุงและดัดแปลง จนเกิดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมากมายหลายชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทหลักๆ คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ผ่านการกลั่น เช่น เบียร์และไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผ่านการกลั่น เช่น วิสกี้และบรั่นดี
ในภาษาไทยก็แบ่งประเภทน้ำเมาโดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน โดยคำว่า "สุรา" หมายถึง เหล้า, น้ำเมาที่ได้จากการกลั่น และคำว่า "เมรัย" หมายถึง นํ้าเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่, นํ้าเมาที่ไม่ได้กลั่น จึงมักเรียกรวมๆ ว่า "สุราเมรัย" ส่วนในบทความนี้ขอใช้คำว่า "เหล้า" ในการเรียกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
เทคโนโลยีการหมักเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการผลิตเหล้า เป็นเทคโนโลยีชีวภาพแรกๆ ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น โดยอาศัยความสามารถในการย่อยสลายของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ จุลินทรีย์ทุกชนิดล้วนแล้วแต่ "กิน" สารอาหารเพื่อเติบโตและ "ทิ้ง" สารที่ไม่ต้องการออกมา จุลินทรีย์บางชนิดเติบโตในร่างกายเราและ "ทิ้ง" สารพิษ ทำให้เราป่วยเป็นโรคต่างๆ บางชนิดเติบโตในอาหารที่เรากินและสร้างสารที่มีกลิ่นเหม็นเน่า แต่มีจุลินทรีย์บางชนิดที่เมื่อเติบโตในอาหารที่เรากินแล้ว สร้างสารที่มีกลิ่นและรสที่ดี เราจึงใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์เหล่านี้ในการผลิตอาหาร ถนอมอาหาร เช่น แหนม ปลาร้า นมเปรี้ยว โยเกิร์ต และเหล้าบอลสต็ป
กลิ่นและรสที่ดีนั้นเกิดจากสารเคมีที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นในระหว่างการเจริญเติบโต บางชนิดสร้างกรดอะซิติกซึ่งเรานำไปใช้ผลิตน้ำส้มสายชู บางชนิดสร้างกรดแลคติกซึ่งเรานำไปผลิตนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต ส่วนจุลินทรีย์ที่สร้างแอลกอฮอล์เราก็นำมาผลิตเหล้า
จุลินทรีย์เพียงชนิดเดียวที่เราใช้ผลิตเหล้ามาตั้งแต่โบราณ คือ ยีสต์ Saccharomyces cerevisiae แม้จะมีจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ มากมายที่สามารถผลิตแอลกอฮอล์ได้ แต่มีเพียงยีสต์ชนิดนี้เท่านั้นที่ปลอดภัยพอที่จะบริโภค ให้กลิ่น รสที่อร่อยถูกใจ และมีคุณสมบัติเหมาะสมในการผลิตเหล้าจำนวนมาก
ยีสต์ดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ในสภาวะที่มีออกซิเจน กลูโคสและออกซิเจนจะถูกเผาผลาญเป็นพลังงาน เหลือเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนยีสต์จะเปลี่ยนกลูโคสไปเป็นพลังงาน แต่จะเกิดคาร์บอนไดออกไซด์และเอธิลแอลกอฮอล์ขึ้นมาแทน การให้ยีสต์เจริญเติบโตในอาหารที่เราต้องการภายใต้สภาวะที่ไม่มีออกซิเจนนี้เอง คือ "การหมักให้ได้แอลกอฮอล์" ที่เรานำมาใช้ผลิตเหล้า
การหมักเหล้าไม่ใช่กระบวนการผลิตแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผลิตเครื่องดื่มที่มีกลิ่น รสและเนื้อสัมผัสที่ดี ในกระบวนการหมักเหล้ายีสต์ผลิตแอลกอฮอล์เป็นผลิตภัณฑ์หลัก และยังผลิตสารเคมีอื่นอีกหลายชนิดปริมาณเล็กน้อย เช่น สารจำพวกเอสเทอร์ อัลดีไฮด์ และโปรตีน "สารเคมีอื่นๆ" เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เหล้าแต่ละชนิดมีกลิ่น รสชาติและเนื้อสัมผัสแตกต่างกัน เป็นตัวกำหนดคุณภาพและราคาของเหล้า โดยทั่วไปแล้ว "สารเคมีอื่นๆ" ที่มีกลิ่นรสอย่างที่เราชื่นชอบมักต้องใช้ระยะเวลาในการหมักยาวนาน ทำให้เหล้าดีๆ มักมีราคาแพง นอกจากนี้ปัจจัยที่ทำให้ยีสต์สร้าง "สารเคมีอื่นๆ" ยังรวมถึงสายพันธุ์ของยีสต์ วัตถุดิบที่นำมาหมัก น้ำ อุณหภูมิ และปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นสูตรลับทางการค้า
เหล้าที่ได้จากการหมักสามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท ตามวัตถุดิบที่นำมาผลิต ได้แก่ "เบียร์" ซึ่งผลิตจากการหมักธัญพืช เช่น ข้าวสาลีและข้าวบาเลย์ และ ไวน์ ผลิตจากการหมักผลไม้ ซึ่งในสมัยก่อนหมักจากองุ่นเพียงอย่างเดียว ต่อมาจึงมีการนำผลไม้อื่นๆ มาหมักเป็นไวน์ด้วย
เหล้าที่ได้จากการหมักโดยไม่กลั่นให้กลิ่นรสที่สดใหม่ แต่มีข้อจำกัดในการผลิตให้ได้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นสูงๆ ทั้งนี้เพราะสำหรับยีสต์และสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่แอลกอล์เป็นพิษต่อเซลล์ เป็นของเสียที่เซลล์กำจัดทิ้ง เมื่อความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในระหว่างการหมักสูงถึงระดับหนึ่งจะยับยั้งการเติบโตของยีสต์ นอกจากนี้เหล้าที่ไม่ผ่านการกลั่นยังเก็บรักษาไว้ได้ไม่นาน เพราะมีแบคทีเรียหลายชนิดที่สามารถกินแอลกอฮอล์ และเปลี่ยนให้เป็นกรดอะซิติกแทน ทำให้เบียร์หรือไวน์มีรสเปรี้ยว
ชาวกรีกพัฒนากระบวนการกลั่นเหล้าขึ้นราวปี พ.ศ. 550 - 600 เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ข้างต้น การกลั่นเหล้าทำโดยให้ความร้อนแก่เหล้าที่ได้จากการหมัก เพื่อให้แอลกอฮอล์ระเหยเป็นไอ แยกจากของเหลวอื่นๆ เอธิลแอลกอฮอล์ในเหล้ามีจุดเดือดประมาณ 78 องศาเซลเซียส ในขณะที่น้ำมีจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ความร้อนที่ใช้ในการกลั่นเหล้าจึงอยู่ระหว่าง 78-100 องศาเซลเซียส ไอของแอลกอฮอล์และสารอื่นๆ ที่ระเหยมาด้วย จะถูกทำให้เย็นลงและควบแน่นกลับเป็นของเหลวอีกครั้ง การเลือกช่วงของอุณหภูมิมีผลต่อรสชาติของเหล้าอย่างมาก อีกทั้งยังไม่มีสูตรตายตัวหากใช้อุณหภูมิในการกลั่นไม่เหมาะสมจะทำให้เหล้ากลั่นมีกลิ่นฉุน หรือมีรสบาดคอ จึงอาจกล่าวได้ว่าการผลิตเหล้านั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ บอลสต็ป
สิ่งที่อยู่คู่กับงานสังสรรค์เสมอก็คือ "เครื่องดื่มแอลกอฮอล์" แม้จะมีการรณรงค์มากมายเพื่อบอกถึงอันตรายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงเลย ตรงกันข้ามธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลับเติบโต มีมูลค่าสูงขึ้นทุกปี
ในโอกาสที่หลายคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาคอยงานสังสรรค์ที่กำลังจะมาถึง หรือบางคนอาจ "ดื่ม" ฉลองกันไปบ้างแล้ว ทางวิชาการดอทคอมขอหยิบยกเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่า "เหล้า" มาเล่าสู่กันฟังแบบวิชาการบ้างบอลสต็ป
"เหล้า" เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของมนุษย์มาช้านานแล้ว มนุษย์ดื่มเหล้าในงานรื่นเริงมาตั้งแต่สมัยโบราณ เรียนรู้ที่จะ "เมา" กันตั้งแต่เริ่มมีอารยธรรมเลยทีดียว บันทึกที่มีข้อมูลเก่าแก่ที่ระบุว่า มนุษย์รู้จักการผลิตเหล้าตั้งแต่สมัยสุเมเรียนหรืออาจก่อนหน้านั้นแต่ไม่มีหลักฐาน และเหล้าชนิดแรกที่มนุษย์ผลิตได้คือ "เบียร์" ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากความบังเอิญที่การจัดเก็บผลิตผลทางการเกษตรในยุคนั้นยังไม่ดีนัก จึงทำให้ธัญพืช เช่น ข้าวบาเลย์ และข้าวสาลี ที่เก็บเกี่ยวมากองรวมกันไว้ได้รับความชื้นจากอากาศ ทำให้เกิด "การหมัก" โดยเชื้อจุลิทรีย์จนมีแอลกอฮอล์เกิดขึ้น ได้ข้าวที่มีกลิ่นรสเปลี่ยนไป ซึ่งคงถูกปากและถูกใจบรรพบุรุษของเราอย่างมาก กรรมวิธีการผลิตจึงถูกถ่ายทอดและปรับปรุงต่อมาบอลสต็ป
อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์รู้จักการ "กิน" หรืออย่างน้อยก็รู้จัก "ความสุขจากการกิน" แอลกอฮอล์มาก่อนจะมีอารยธรรมเสียอีก มนุษย์โบราณอาจมีโอกาสลิ้มรสแอลกอฮอล์จากผลไม้ที่สุกงอมที่มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถหมักจนเกิดแอลกอฮอล์ได้ ผลไม้สุกงอมที่ผ่านการหมักนี้เต็มไปด้วยน้ำตาล แอลกอฮอล์ และจุลินทรีย์ เป็นแหล่งพลังงานชั้นยอด จึงดึงดูดสัตว์หลายชนิด เช่น แมลงหวี่ นก ลิง และน่าจะรวมถึงมนุษย์ด้วย
การผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แท้จริงแล้วคือ กระบวนการหมัก เพื่อเปลี่ยนสารอาหารจำพวกน้ำตาลและแป้งในวัตถุดิบไปเป็นแอลกอฮอล์ กระบวนการหมักที่พบโดยบังเอิญถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมา ผ่านการปรับปรุงและดัดแปลง จนเกิดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมากมายหลายชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทหลักๆ คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ผ่านการกลั่น เช่น เบียร์และไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผ่านการกลั่น เช่น วิสกี้และบรั่นดี
ในภาษาไทยก็แบ่งประเภทน้ำเมาโดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน โดยคำว่า "สุรา" หมายถึง เหล้า, น้ำเมาที่ได้จากการกลั่น และคำว่า "เมรัย" หมายถึง นํ้าเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่, นํ้าเมาที่ไม่ได้กลั่น จึงมักเรียกรวมๆ ว่า "สุราเมรัย" ส่วนในบทความนี้ขอใช้คำว่า "เหล้า" ในการเรียกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
เทคโนโลยีการหมักเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการผลิตเหล้า เป็นเทคโนโลยีชีวภาพแรกๆ ที่มนุษย์คิดค้นขึ้น โดยอาศัยความสามารถในการย่อยสลายของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ จุลินทรีย์ทุกชนิดล้วนแล้วแต่ "กิน" สารอาหารเพื่อเติบโตและ "ทิ้ง" สารที่ไม่ต้องการออกมา จุลินทรีย์บางชนิดเติบโตในร่างกายเราและ "ทิ้ง" สารพิษ ทำให้เราป่วยเป็นโรคต่างๆ บางชนิดเติบโตในอาหารที่เรากินและสร้างสารที่มีกลิ่นเหม็นเน่า แต่มีจุลินทรีย์บางชนิดที่เมื่อเติบโตในอาหารที่เรากินแล้ว สร้างสารที่มีกลิ่นและรสที่ดี เราจึงใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์เหล่านี้ในการผลิตอาหาร ถนอมอาหาร เช่น แหนม ปลาร้า นมเปรี้ยว โยเกิร์ต และเหล้าบอลสต็ป
กลิ่นและรสที่ดีนั้นเกิดจากสารเคมีที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นในระหว่างการเจริญเติบโต บางชนิดสร้างกรดอะซิติกซึ่งเรานำไปใช้ผลิตน้ำส้มสายชู บางชนิดสร้างกรดแลคติกซึ่งเรานำไปผลิตนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต ส่วนจุลินทรีย์ที่สร้างแอลกอฮอล์เราก็นำมาผลิตเหล้า
จุลินทรีย์เพียงชนิดเดียวที่เราใช้ผลิตเหล้ามาตั้งแต่โบราณ คือ ยีสต์ Saccharomyces cerevisiae แม้จะมีจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ มากมายที่สามารถผลิตแอลกอฮอล์ได้ แต่มีเพียงยีสต์ชนิดนี้เท่านั้นที่ปลอดภัยพอที่จะบริโภค ให้กลิ่น รสที่อร่อยถูกใจ และมีคุณสมบัติเหมาะสมในการผลิตเหล้าจำนวนมาก
ยีสต์ดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ในสภาวะที่มีออกซิเจน กลูโคสและออกซิเจนจะถูกเผาผลาญเป็นพลังงาน เหลือเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนยีสต์จะเปลี่ยนกลูโคสไปเป็นพลังงาน แต่จะเกิดคาร์บอนไดออกไซด์และเอธิลแอลกอฮอล์ขึ้นมาแทน การให้ยีสต์เจริญเติบโตในอาหารที่เราต้องการภายใต้สภาวะที่ไม่มีออกซิเจนนี้เอง คือ "การหมักให้ได้แอลกอฮอล์" ที่เรานำมาใช้ผลิตเหล้า
การหมักเหล้าไม่ใช่กระบวนการผลิตแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผลิตเครื่องดื่มที่มีกลิ่น รสและเนื้อสัมผัสที่ดี ในกระบวนการหมักเหล้ายีสต์ผลิตแอลกอฮอล์เป็นผลิตภัณฑ์หลัก และยังผลิตสารเคมีอื่นอีกหลายชนิดปริมาณเล็กน้อย เช่น สารจำพวกเอสเทอร์ อัลดีไฮด์ และโปรตีน "สารเคมีอื่นๆ" เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เหล้าแต่ละชนิดมีกลิ่น รสชาติและเนื้อสัมผัสแตกต่างกัน เป็นตัวกำหนดคุณภาพและราคาของเหล้า โดยทั่วไปแล้ว "สารเคมีอื่นๆ" ที่มีกลิ่นรสอย่างที่เราชื่นชอบมักต้องใช้ระยะเวลาในการหมักยาวนาน ทำให้เหล้าดีๆ มักมีราคาแพง นอกจากนี้ปัจจัยที่ทำให้ยีสต์สร้าง "สารเคมีอื่นๆ" ยังรวมถึงสายพันธุ์ของยีสต์ วัตถุดิบที่นำมาหมัก น้ำ อุณหภูมิ และปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นสูตรลับทางการค้า
เหล้าที่ได้จากการหมักสามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท ตามวัตถุดิบที่นำมาผลิต ได้แก่ "เบียร์" ซึ่งผลิตจากการหมักธัญพืช เช่น ข้าวสาลีและข้าวบาเลย์ และ ไวน์ ผลิตจากการหมักผลไม้ ซึ่งในสมัยก่อนหมักจากองุ่นเพียงอย่างเดียว ต่อมาจึงมีการนำผลไม้อื่นๆ มาหมักเป็นไวน์ด้วย
เหล้าที่ได้จากการหมักโดยไม่กลั่นให้กลิ่นรสที่สดใหม่ แต่มีข้อจำกัดในการผลิตให้ได้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นสูงๆ ทั้งนี้เพราะสำหรับยีสต์และสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่แอลกอล์เป็นพิษต่อเซลล์ เป็นของเสียที่เซลล์กำจัดทิ้ง เมื่อความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในระหว่างการหมักสูงถึงระดับหนึ่งจะยับยั้งการเติบโตของยีสต์ นอกจากนี้เหล้าที่ไม่ผ่านการกลั่นยังเก็บรักษาไว้ได้ไม่นาน เพราะมีแบคทีเรียหลายชนิดที่สามารถกินแอลกอฮอล์ และเปลี่ยนให้เป็นกรดอะซิติกแทน ทำให้เบียร์หรือไวน์มีรสเปรี้ยว
ชาวกรีกพัฒนากระบวนการกลั่นเหล้าขึ้นราวปี พ.ศ. 550 - 600 เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ข้างต้น การกลั่นเหล้าทำโดยให้ความร้อนแก่เหล้าที่ได้จากการหมัก เพื่อให้แอลกอฮอล์ระเหยเป็นไอ แยกจากของเหลวอื่นๆ เอธิลแอลกอฮอล์ในเหล้ามีจุดเดือดประมาณ 78 องศาเซลเซียส ในขณะที่น้ำมีจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ความร้อนที่ใช้ในการกลั่นเหล้าจึงอยู่ระหว่าง 78-100 องศาเซลเซียส ไอของแอลกอฮอล์และสารอื่นๆ ที่ระเหยมาด้วย จะถูกทำให้เย็นลงและควบแน่นกลับเป็นของเหลวอีกครั้ง การเลือกช่วงของอุณหภูมิมีผลต่อรสชาติของเหล้าอย่างมาก อีกทั้งยังไม่มีสูตรตายตัวหากใช้อุณหภูมิในการกลั่นไม่เหมาะสมจะทำให้เหล้ากลั่นมีกลิ่นฉุน หรือมีรสบาดคอ จึงอาจกล่าวได้ว่าการผลิตเหล้านั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ บอลสต็ป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)